CO2 Laser รักษาสิว กำจัดไฝ ติ่งเนื้อ อันตรายไหม? ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ?

ในยุคที่ความงามและสุขภาพผิวพรรณมีความสำคัญมากขึ้น เทคโนโลยีการรักษาผิวพรรณก็ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว CO2 Laser คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาสิว กำจัดไฝ ติ่งเนื้อส่วนเกินที่เราไม่ต้องการออกไปได้ มีการทำงานอย่างไร? อันตรายไหม? ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? โมเดลล่ามีคำตอบ

CO2 Laser คืออะไร ?

เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ Cabon Dioxide (CO2) Laser มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร ในกลุ่ม Ablative Laser เป็นเลเซอร์ที่ใช้สำหรับการลอกหรือตัดผิวหนัง ช่วยรักษาโรคทางผิวหนัง แก้ปัญหาส่วนเกินที่ไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น รักษาสิว เลเซอร์หน้าใส กำจัดเนื้องอกเฉพาะจุด เช่น ไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ กระเนื้อ ต่อมไขมัน

หลักการทำงานของเลเซอร์

ปล่อยลำแสงเลเซอร์ที่มีความร้อนสูงไปยังบริเวณที่ต้องการรักษา พลังงานความร้อนนี้จะถูกดูดซับโดยน้ำในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นพลังงานความร้อนสูงทำลายเซลล์เนื้อเยื่อส่วนเกินให้หลุดลอกออก และไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ

สามารถใช้รักษาได้ใน 2 รูปแบบคือ 

  1.  แบบCO2 Laser
  • ทำลายเนื้อเยื่อส่วนเกิน ยิงเลเซอร์แบบต่อเนื่อง ให้พลังงานความร้อนสูง
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่ต้องการการรักษาแบบรวดเร็ว เห็นผลชัดเจน
  • เหมาะกับใช้รักษาการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกิน กำจัดไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ กระเนื้อ ต่อมไขมัน
  1. แบบ Fractional CO2 Laser 
  • ยิงเลเซอร์แบบเป็นจุดเล็กๆ หลายๆ จุดคล้ายตาราง กระจายพลังงานความร้อนไปทั่วบริเวณ ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังเพียงบางส่วนเท่านั้น
  • ใช้รักษาผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ช่วยเรื่องหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบ ลดเลือนริ้วรอย รอยแผลเป็น และรอยแตกลาย
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่ต้องการการรักษาแบบเห็นผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

CO2 Laser ช่วยรักษาปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?

CO2 Laser ช่วยรักษาปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?

  • กำจัดไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อ ติ่งเนื้อ ที่เกิดขึ้นบนผิวหนังได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • รักษาสิว รอยดำ รอยแดง และหลุมสิว
  • ยกกระชับผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึง กระชับขึ้น
  • รักษารอยแผลเป็น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นดูเรียบเนียนขึ้น
  • ลดริ้วรอย ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึก รอยตีนกา ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ลง

CO2 Laser อันตรายไหม?

มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงโดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่

  • รอยแดงและบวม: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังเลเซอร์ อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  • ผิวหนังมีสีแดง: จะค่อยๆ จางเป็นสีชมพู และจะกลับเป็นสีปกติตามธรรมชาติ
  • รอยสะเก็ดแผล: หลังเลเซอร์จะเกิดสะเก็ดแผล มักจะหลุดลอกเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ผิวเข็มขึ้น: บริเวณที่เลเซอร์อาจมีสีผิวเข้มขึ้น พบบ่อยในผู้ป่วยที่มีผิวคล้ำ และจะเป็นมากขึ้นหากโดนแสงแดดจัด
  • รอยแผลเป็น: พบน้อยมากจากการรักษา แต่อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่ผิวหนังถูกกระทบกระเทือน ซึ่งการปฏิบัติตนตามคำแนะนำโดยเคร่งครัด ช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้
  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อเป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากหลังเลเซอร์ หากเกิดการติดเชื้อ แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา

นอกจากผลข้างเคียงที่พบบ่อยแล้ว ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

  • อาการปวด อาการแสบร้อน: มักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  • อาการคัน: มักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  • อาการชา: เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์

หากคนไข้มีข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียงหลังเลเซอร์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีป้องกันผลข้างเคียงจากเลเซอร์

  • เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษา
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการรักษา
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดหลังการรักษา และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
  • ควรทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นหลังการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาแผล เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้

ใครไม่เหมาะจะทำเลเซอร์ ?

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน  โรคเบาหวาน โรคเลือด โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่มีภาวะโรคผิวหนังรุนแรง 
  • ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ หรือสิวอักเสบ 

CO2 Laser ควรทำกี่ครั้ง ?

จำนวนครั้งในการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วจะทำประมาณ 1-3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์

ขั้นตอนการทำเลเซอร์มีอะไรบ้าง ?

  1. การปรึกษาและประเมินสภาพผิว แพทย์จะทำการตรวจสอบและประเมินสภาพผิว รวมถึงการซักถามเกี่ยวกับประวัติการรักษาโรคประจำตัว การแพ้ยา และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  2. เตรียมผิวหนังและการทำความสะอาดผิว แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะเช็ดทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  3. เลเซอร์ แพทย์จะใช้เครื่องเลเซอร์ยิงไปยังบริเวณที่ต้องการรักษาปล่อยแสงเลเซอร์ในรูปแบบของจุดเล็กๆ ที่กระจายทั่วบริเวณผิว โดยปรับความเข้มข้น ระยะเวลา และจำนวนการยิง ให้เหมาะสมกับรอยโรค ผู้เข้ารับการรักษาอาจรู้สึกแสบร้อน หรือได้กลิ่นไหม้เกรียม ระหว่างการยิงเลเซอร์

กรณีจี้ไฝ ติ่งเนื้อ กระเนื้อ

แพทย์จะทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและลดความเจ็บปวดระหว่างการทำเลเซอร์บริเวณที่ต้องการรักษา

กรณีใช้สำหรับเปิดหัวสิวอุดตัน

แพทย์อาจจะทายาชา หรือประคบเย็นบริเวณหัวสิว หลังจากนั้นจึงค่อยยิงเลเซอร์เพื่อเปิดหัวสิวที่อุดตัน

สิ่งที่ควรทำก่อนทำเลเซอร์

สิ่งที่ควรทำก่อนทำ CO2 Laser

  • เลี่ยงแสงแดด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะผิวที่โดนแสงแดดอาจไวต่อการเกิดรอยแดงหรือรอยดำหลังการรักษา ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ อาจทำให้เลือดออกง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
  • เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA) อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการรักษา
  • ยุดรับประทานยา สมุนไพร อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด และวิตามินซี ก่อนการรักษา 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เลือดออก และการติดเชื้อ
  • หากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติแพ้ยา โดยเฉพาะยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำเลเซอร์

สิ่งที่ไม่ควรทำหลังทำเลเซอร์

สิ่งที่ไม่ควรทำหลังทำ CO2 Laser

  • เลี่ยงการโดนน้ำบริเวณแผลหลังเลเซอร์ประมาณ 24 ชั่วโมง
  • เลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 2 อาทิตย์ 
  • ทาขี้ผึ้งหรือยาบริเวณแผลอย่างเบามือ
  • ห้ามแกะสะเก็ดแผล โดยปกติจะหลุดเองภายใน 7-14 วัน (หลังสะเก็ตแผลหลุด จะเห็นเป็นผิวชมพู จากนั้นจะหายเป็นปกติ ในบางรายอาจมีรอยดำหลังการอักเสบ)
  • ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแดง หรือเกิดฝ้าเพิ่มขึ้น

สรุป

CO2 Laser นั้นถือเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิวหลากหลายประเภท ทั้งช่วยแก้ไขปัญหาผิว กำจัดติ่งเนื้อส่วนเกินและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์เรียบเนียน ซึ่งโดยทั่วไปควรทำประมาณ 1-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลหลังทำของคนไข้ด้วย