CO2 Laser คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
CO2 Laser หรือคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ คือเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร จัดอยู่ในกลุ่ม Ablative Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ใช้สำหรับการลอกหรือตัดผิวหนัง ช่วยรักษาโรคทางผิวหนัง แก้ปัญหาผิวหนังส่วนเกินที่ไม่ต้องการ หรือกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว

CO2 Laser รักษาปัญหาผิวหนังอะไรได้บ้าง?
- กำจัดไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อ ติ่งเนื้อ สิวหิน ต่อมไขมันโต หูด
- รักษาสิว รอยดำ รอยแดง และหลุมสิว
- ยกกระชับผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึง กระชับขึ้น
- รักษารอยแผลเป็น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นดูเรียบเนียนขึ้น
- ลดริ้วรอย ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึก รอยตีนกา ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
วิธีกำจัดไฝหรือติ่งเนื้อ มีวิธีใดบ้าง?
- การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าความร้อนในการเผาให้หลุดออก
- การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) เป็นการใช้ไนโตรเจนเหลวแช่เย็นไฝหรือติ่งเนื้อ ทำให้เนื้อตายและหลุดออกเองภายในไม่กี่วัน
- การตัดด้วยกรรไกรผ่าตัด (Excision) เป็นการใช้มีดหรือกรรไกรตัดเนื้องอกออก เหมาะสำหรับไฝหรือติ่งเนื้อขนาดใหญ่
- การใช้เลเซอร์ (Laser Removal) เป็นการใช้แสงเลเซอร์ความเข้มสูงเผาตัดไฝหรือติ่งเนื้อ ค่อนข้างมีความแม่นยำและมีผลข้างเคียงน้อย สามารถทำได้แม้บริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ใบหน้า หรือลำคอ
- การผูกด้าย (Ligation) เป็นการผูกด้ายบริเวณฐานของติ่งเนื้อเพื่อหยุดการไหลเวียนเลือด ทำให้ติ่งเนื้อหลุดไปเอง เหมาะกับติ่งเนื้อเล็ก ๆ และไม่มีเส้นเลือดใหญ่
- การทายาเพื่อกำจัดติ่งเนื้อ (Topical Creams) โดยใช้ครีมที่มีสารช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดซาลิไซลิก มักไม่หลุดในครั้งเดียวและเป็นรอยแผลเป็นง่าย
เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อด้วย CO2 Laser ดีไหม? มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
ข้อดี
- สามารถตัดและทำลายเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการโดยที่ไม่ทำให้เลือดออก เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เนื่อเยื่อระเหยไป และหลอดเลือดเกิดการแข็งตัวอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีเลือดไหลให้เห็น
- ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน
- มีความละเอียดและแม่นยำสูง จึงสามารถเจาะจงทำลายเนื้อเยื่อที่ต้องการได้ ไม่สร้างความเสียหายให้เนื้อเยื่อโดยรอบ
- แผลสวย ไม่มีรอยเย็บ ไม่เป็นแผลเป็น
- ใช้เวลาฟื้นตัวเร็ว สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- หลังทำประมาณ 1 เดือน ผิวหนังสามารถกลับมาเป็นปกติ หรือใกล้เคียงปกติได้
ข้อเสีย
- ต้องพักหน้าประมาณ 7 วัน เพื่อรอให้สะเก็ดแผลหลุดออก
CO2 Laser กำจัดไฝ ติ่งเนื้อ บริเวณไหนของร่างกายได้บ้าง?
สามารถยิงได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่ต้องระวังในบริเวณที่อยู่ชิดขอบตา จมูก ใบหู เนื่องจากเป็นบริเวณที่เนื้อผิวค่อนข้างบาง
อายุเท่าไหร่ถึงเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ได้?
สามารถทำได้ทุกช่วงวัย โดยหากอายุไม่ถึง 18 ปีควรให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมก่อนทำการรักษาด้วย
ทำเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ใช้เวลานานแค่ไหน?
ก่อนทำจะมีการแปะยาชาบริเวณที่ยิงเลเซอร์ประมาณ 30-45 นาที และใช้เวลาในการเลเซอร์ต่อจุดน้อยมาก หากมีไฝหรือขี้แมลงวันจำนวนมากอาจใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หรือบางครั้งอาจมีการฉีดยาชาที่ไฝหรือติ่งเนื้อเฉพาะจุด ทำให้ใช้เวลาในการเลเซอร์น้อย
เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
หากเป็นกระเนื้อ ติ่งเนื้อ สิวหิน มักกำจัดออกได้หมดภายในครั้งเดียว ส่วนไฝหรือขี้แมลงวันมักมีรากอยู่ในชั้นผิว ซึ่งหากเป็นรากลึกอาจไม่สามารถกำจัดออกได้ใน 1 ครั้ง เนื่องจากทำให้แผลมีความลึกมาก และเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้ จึงควรมาทำซ้ำในอีก 1 เดือน
เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ด้วย CO2 Laser เจ็บไหม? กี่วันหาย?
เนื่องจากมีการทายาชา หรือฉีดยาชาเฉพาะจุด ระหว่างเลเซอร์จึงไม่รู้สึกเจ็บ หรืออาจรู้สึกได้น้อยมาก ทั้งนี้ สามารถแจ้งผู้เชี่ยวชาญได้หากรู้สึกเจ็บมากระหว่างยิง เพื่อปรับพลังงานเลเซอร์ให้เหมาะสม และแผลหลังเลเซอร์จะมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งจะค่อย ๆ ตกสะเก็ด แล้วหลุดออกไปเอง ประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดและความลึกของแผล
เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ มีโอกาสเกิดแผลเป็นหรือไม่?
หากเป็นแผลขนาดเล็ก ไม่ลึก จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังทำ ยกเว้นไฝหรือขี้แมลงวันที่มีรากลึก ทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ และลึกกว่า หลังสะเก็ดหลุดจึงอาจเหลือหลุมตื้นๆอยู่บ้างแต่ร่างกายก็จะค่อยๆสร้างผิวขึ้นมาเติมเต็มจนเป็นปกติ หรือใกล้เคียงปกติ
มีข้อห้ามอะไรบ้างในการทำ เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ?
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคเบาหวาน โรคเลือด โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่มีภาวะโรคผิวหนังรุนแรง
- ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ หรือสิวอักเสบ

การเตรียมตัวก่อนเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ
- เลี่ยงแสงแดด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะผิวที่โดนแสงแดดอาจไวต่อการเกิดรอยแดงหรือรอยดำหลังการรักษา ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
- เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA) อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการรักษา
- หยุดรับประทานยา สมุนไพร อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด และวิตามินซี ก่อนการรักษา 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เลือดออก และการติดเชื้อ
- หากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติแพ้ยา โดยเฉพาะยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำเลเซอร์

หลังเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ดูแลอย่างไร?
- หลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณที่ทำเลเซอร์ 24-48 ชั่วโมง (หากโดนน้ำควรรีบซับให้แห้ง)
- เช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ และใช้ยาทาแผล เช่น เบตาดีน ขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ
- ทามอยเจอร์ไรเซอร์หรือเจลอโรเวล่าได้เมื่อแผลแห้งแล้วเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและลดอาการคัน
- ห้ามถู แกะ เกา บริเวณที่ทำเลเซอร์ โดยปกติสะเก็ดจะหลุดออกเองภายใน 7-14 วัน
- หลังสะเก็ดหลุด ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ และวิธีป้องกัน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังทำ
- มีอาการปวด แสบร้อนเป็นช่วงๆ
- มีอาการบวมและน้ำเหลืองซึม อาการจะหายไปภายใน 5-7 วัน
- หลังสะเด็ดหลุด ผิวจะมีสีแดงและค่อยๆจางเป็นสีชมพูโดยใช้เวลาหลายสัปดาห์ และจะกลับเป็นสีปกติตามธรรมชาติภายในเวลา 3-4 เดือน
- สีผิวเข้มขึ้น อาการนี้จะจางลงภายในเวลา 2-6 เดือน ส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีผิวคล้ำ และผู้ที่โดนแดดจัดหลังทำ
- สีผิวจางลง เกิดขึ้นได้หากเลเซอร์บริเวณนั้นหลายครั้ง สามารถหายเป็นปกติได้ แต่อาจใช้เวลาหลายเดือน
- รอยแผลเป็น พบน้อยมากจากการรักษาแต่อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่ผิวหนังถูกกระทบกระเทือน ซึ่งการปฏิบัติตนตามคำแนะนำโดยเคร่งครัด ช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้
- การติดเชื้อ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากหลังเลเซอร์ ซึ่งหากเกิดการติดเชื้อ แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
วิธีป้องกันผลข้างเคียง
- ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดหลังการรักษา
- หลีกเลี่ยงแสงแดดหลังการรักษา และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
- ควรทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นหลังการรักษา
- หลีกเลี่ยงการแกะเกาแผล เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ทำเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อที่คลินิกทั่วไป ปลอดภัยหรือไม่?
ปัจจุบันการรักษาด้วย CO2 Laser สามารถทำได้ทั้งที่โรงพยาบาลและคลินิกด้านผิวหนัง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเข้ารับบริการ คือ การรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และเครื่องมือที่ใช้ผ่านการรับรองมาตรฐานในระดับสากล
CO2 Laser เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ราคาเท่าไหร่?

ที่โมเดลล่าคลินิก หากเป็นไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อ ติ่งเนื้อ สิวหิน ต่อมไขมัน
เริ่มต้นที่ราคา 399-999 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายในการยิง
นอกจากนี้ หากผู้ที่มีจำนวนจุดค่อนข้างเยอะ สามารถเลือกโปรโมชั่นแบบเหมาจำกัดจำนวนจุด
หรือไม่จำกัดจำนวนจุดได้ เริ่มต้นที่ราคา 1,888 บาท
รีวิวเลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ ที่ Modella Clinic




สามารถทำ CO2 Laser พร้อมหัตถการอื่นได้ไหม?
ก่อนทำ : ไม่ควรทำหัตการที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมบนใบหน้าเยอะ เพราะอาจทำให้ขณะรักษาเกิดเลือดออกได้
หลังทำ : หากมีจำนวนจุดที่รักษาไม่มาก สามารถทำหัตถการอื่นได้ แต่ต้องไม่ใช้หัตถการที่ทำให้แผลโดนน้ำ หรือมีการสัมผัสแผลโดยตรง ทั้งนี้ควรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ด้วย
CO2 Laser ทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดขึ้นหรือไม่?
ความร้อนจากเลเซอร์จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้ผิวบอบบาง เกิดการแพ้ และรอยดำได้ง่าย หลังทำจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และทาครีมกันแดดประจำเพื่อป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากแสงแดด
เลเซอร์ไฝ ติ่งเนื้อ มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม?
มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้โดยเฉพาะไฝหรือขี้แมลงวันที่มีรากอยู่ที่ผิวชั้นลึก หากไม่กำจัดรากออกให้หมดก็จะทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยอาจมีลักษณะสีชัดขึ้นหรือเป็นเพียงจุดเล็กๆไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าก่อนเลเซอร์
ทำ CO2 Laser ระหว่างตั้งครรภ์ได้หรือไม่?
แม้การทำ CO2 Laser จะเป็นการยิงเจาะจงเฉพาะจุดเล็กๆ แต่ก็ไม่แนะนำทำในผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจมีผลต่อทารกในครรภ์
สรุป
CO2 Laser เป็นเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ และเกิดผลข้างเคียงน้อย จึงเหมาะสำหรับการกำจัดไฝ ติ่งเนื้อ และปัญหาผิวอื่นๆอีกมากมาย โดยที่โมเดลล่าคลินิกเน้นการรักษาและประเมินแบบตรงไปตรงมาโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังมี เครื่องมือเลเซอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในระดับสากล สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้ารับควรปรึกษาปัญหาผิวกับผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อประเมิน และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล