แผลเป็นคืออะไร?
แผลเป็น คือ เนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อซ่อมแซมและสมานบาดแผลหลังจากเกิดการบาดเจ็บ เมื่อแผลหายแล้ว ร่างกายอาจสร้างคอลลาเจนมากหรือน้อยเกินไป ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม จึงทำให้เกิด รอยแผลเป็น ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป
ประเภทของแผลเป็น

แผลเป็นมีลักษณะแตกต่างกันหลายแบบ ขึ้นอยู่กับการบาดเจ็บและขนาดของความเสียหายบนผิวหนัง ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการสมานแผล โดยสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
แผลเป็นนูน มีลักษณะนูนหนา สีแดง เกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการสมานแผล โดยทั่วไปแผลจะปรากฏชัดในช่วง 6 เดือนแรก และค่อย ๆ ยุบลงจนคล้ายแผลปกติภายในเวลาประมาณ 1 ปี มักพบในตำแหน่งที่มีความตึงของผิว เช่น ข้อต่อหรือหน้าอก ในระยะแรกอาจมีอาการคันร่วมด้วย - แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scar)
แผลเป็นคีลอยด์ มีลักษณะนูนโต แข็ง และมักขยายเกินขอบเขตของแผลเดิม อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากผิดปกติ ทำให้เนื้อเยื่อขยายตัวต่อเนื่อง แม้แผลจะหายแล้วก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม มักพบบริเวณหน้าอก หัวไหล่ หลัง หรือใบหู - แผลเป็นหลุม (Atrophic Scar)
แผลเป็นหลุม มีลักษณะเป็นร่องหรือยุบลงใต้ชั้นผิวหนัง เนื่องจากเกิดการสูญเสียไขมันใต้ผิว และร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่ไม่เพียงพอ มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรง อีสุกอีใส หรือการผ่าตัด - แผลเป็นแบบหดรั้ง (Contracture Scar)
แผลเป็นแบบหดรั้ง เป็นแผลเป็นที่มักเกิดจากเหตุการณ์ไฟไหม้หรือผิวโดนความร้อนลวก มีผิวหนังย่นเข้าหากันในบางมุม ส่งผลให้ผิวตึงและอาจทำให้การเคลื่อนไหวบริเวณนั้นลำบาก - แผลเป็นแบบรอยคล้ำ/รอยแดง (Post-inflammatory Hyperpigmentation/Redness)
แผลเป็นแบบรอยคล้ำ/รอยแดง เกิดขึ้นหลังจากผิวหนังมีการอักเสบ เช่น รอยถลอกจากบาดแผล ผื่นแพ้ การทำเลเซอร์ หรือสิวอักเสบ ระหว่างการอักเสบ เซลล์ผิวจะหลั่งสารกระตุ้นที่ทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ผลิตเม็ดสีมากขึ้น จึงปรากฏเป็นรอยคล้ำหรือรอยแดงตามมา
8 วิธีลบ รอยแผลเป็น ให้จางลง

การรักษารอยแผลเป็นควรเริ่มทำทันทีหลังจากแผลปิดหรือหายสนิท เนื่องจากจะช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น และลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่รุนแรง การรักษามีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะและอายุของแผลเป็น โดยแบ่งได้ทั้งวิธีดูแลเองง่าย ๆ ที่บ้าน และวิธีรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
1. ทาครีมลด รอยแผลเป็น (Topical products)

เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก แต่การใช้ครีมลดรอยแผลเป็นให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบสำคัญ เช่น
- วิตามินอี (Vitamin E) ช่วยทำให้เซลล์สามารถซ่อมแซมแผลได้อย่างสมบูรณ์ เร่งให้แผลเป็นหายเร็วขึ้นหรือทำให้ดูจางลงได้
- วิตามินเอ (Vitamin A/Retinoids) ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน รวมถึงช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ไปพร้อม ๆ กับการลดเลือนรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รอยดำ หรือรอยแดง
- วิตามินบี 3 (Niacinamide) ลดการอักเสบ ลดรอยแดง รอยดำ และเม็ดสีเมลานิน เหมาะกับรอยสิว รอยไหม้ หรือรอยผ่าตัด
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นทุกประเภทที่แห้งกร้านหรือขาดความชุ่มชื้น
- เปปไทด์ (Peptides) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เสริมความแข็งแรงของผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม
- ครีมหรือเจลที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น
- สารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa) ลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจนเกิน
- สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica) กระตุ้นการสมานแผล ลดการเกิดคอลลาเจนผิดปกติ
- สารมิวโคโพลีแซคคาไรด์ (MPS) เพิ่มการไหลเวียนเลือด บริเวณรอยแผลสมานได้ดีขึ้น
การทาครีมเพียงอย่างเดียวมักให้ผลลัพธ์ที่ช้า และอาจไม่เห็นผลชัดเจนในกรณีที่แผลเป็นรุนแรง
2. แผ่นแปะซิลิโคนรักษาแผลเป็น (Silicone Gel Sheet)

การใช้แผ่นเจลซิลิโคนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ โดยมีคุณสมบัติสำคัญ เช่น
- รักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดการสูญเสียน้ำออกจากรอยแผล
- ลดการทำงานของเส้นเลือดฝอย และยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป
- ช่วยให้แผลเป็นจางลงและแบนราบขึ้น เหมาะกับแผลเป็นสีแดง สีคล้ำ รอยนูน และคีลอยด์
โดยนำมาปิดทับแผลเป็นด้วยแผ่นซิลิโคนอย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมง ใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 4–6 เดือน ควรเริ่มใช้ทันทีหลังแผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมเย็บแผล
หากการใช้แผ่นซิลิโคนไม่สะดวก อาจใช้ แผ่นเทปเหนียว (Microporous tape) ปิดทับแผลแทนได้เช่นกัน
3. การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดจากผลไม้ (Chemical Peeling)

การใช้กรดผลไม้ (AHA) ในความเข้มข้นต่ำ สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและทำให้ รอยแผลเป็น ดูจางลงได้บ้าง เหมาะกับรอยแผลเป็นตื้น รอยดำ หรือรอยสิว เป็นวิธีที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ และอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ผิวจะบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น
4. การใช้เลเซอร์ (Laser Treatment)

การรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถช่วยลดรอยแดง รอยดำ แผลเป็นนูน และรอยหลุมสิวได้ โดยหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
4.1 กลุ่ม Non-ablative Laser เป็นเลเซอร์กลุ่มที่จะไม่ทำลายผิวชั้นบน จึงมีระยะพักฟื้นสั้น เหมาะกับรอยแดงและรอยดำ เช่น
- Pulsed Dye Laser (PDL) เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยแสงจำเพาะต่อเม็ดสีแดง ช่วยลดรอยแดงและการอักเสบ ทำให้รอยแดงจางลงและแผลนูนแบนราบ เหมาะกับรอยสิวแดงหรือคีลอยด์
- Pico Laser เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานแสงด้วยความเร็วสูงในระดับ Picosecond ทำให้เม็ดสีและเนื้อเยื่อผิดปกติแตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ และถูกกำจัดออกได้ง่ายขึ้น เหมาะกับรอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็นหลุมตื้น ๆ หรือ รอยแผลเป็น ที่มีเม็ดสีเข้ม
4.2 กลุ่ม Ablative Laser เป็นกลุ่มเลเซอร์ที่ส่งพลังงานลงไปทำลายผิวชั้นบน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่าเดิม เหมาะกับแผลเป็นที่ลึกและรุนแรง เช่น รอยหลุมสิว แผลนูน และคีลอยด์ เช่น
- Fractional Co2 เป็นเลเซอร์ที่มีคลื่นความยาว 10,600 nm โดยพลังงานจะถูกปล่อยเป็นลำแสงช่วงสั้นเล็ก ๆ แทรกลงไปถึงชั้นหนังแท้ ผิวที่ถูกความร้อนจากเลเซอร์จะเกิดการถลอกของผิวเป็นจุดตื้น ๆ โดยการเกิดแผลขนาดเล็กจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการรักษาบาดแผล (Wound healing) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ส่งผลให้รอยแผลเป็นนูนเรียบขึ้น และแผลเป็นหลุมตื้นขึ้น
- Erbium YAG เป็นเลเซอร์ที่มีคลื่นความยาว 2,940 nm พลังงานจะลงได้ตื้นกว่า Fractional Co2 แต่มีระยะพักฟื้นสั้นกว่า และมีโอกาสเกิดรอยดำน้อยกว่า เหมาะสำหรับแผลเป็นหลุมที่ไม่ลึกมาก และต้องการปรับสภาพผิวโดยรวม
- Microneedle RF เป็นเทคโนโลยี Fractional RF ที่ใช้เข็มขนาดเล็กส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุเข้าสู่ชั้นหนังแท้โดยตรง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เหมาะกับ รอยแผลเป็น แบบหลุม ให้ผลลัพธ์โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน และแทบไม่ต้องพักฟื้น
5. การฉีดสเตียรอยด์ (Corticosteroid Injection)

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นวิธีการรักษารอยแผลเป็นที่นิยมใช้สำหรับ แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) และ แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar) โดยวิธีนี้แพทย์จะใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยลดการอักเสบ ยับยั้งการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน รวมถึงทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนมากขึ้น ควรฉีดเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง ขึ้นกับขนาดและความแข็งของแผล
6. การใช้สารเติมเต็ม (Filler)

การฉีดสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์ มักใช้ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid: HA) เพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน โดยเฉพาะ รอยแผลเป็น จากสิวหรือรอยบุ๋มบนใบหน้า ส่งผลให้บริเวณที่ฉีดดูเรียบเนียนและอิ่มฟูมากขึ้น แต่วิธีนี้มีผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน แล้วต้องมาฉีดยาเติมใหม่ เนื่องจากสารดังกล่าวสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
7. การตัดพังผืดใต้แผล (Subcision)

การตัดพังผืดใต้แผล หรือ Subcision คือการใช้เข็มปลายทู่ขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิว เพื่อ ตัดพังผืดที่ยึดรั้งแผลเป็น ออกไป เมื่อพังผืดถูกตัด ผิวหนังบริเวณนั้นจะยกตัวขึ้น และร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นค่อย ๆ ตื้นขึ้น เหมาะสำหรับแผลเป็นหลุมโดยเฉพาะที่เกิดจากสิว
8. การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น (Surgical Revision)

การผ่าตัดเป็นการปรับปรุงลักษณะของ รอยแผลเป็น โดยแพทย์อาจเลือกตัดรอยแผลเป็นทั้งหมดหรือแผลเป็นบางส่วนออก แล้วเย็บปิดแผลใหม่โดยใช้เทคนิคการเย็บพิเศษให้แผลเล็กลงและเรียบเนียนขึ้น หลังผ่าตัดยังต้องดูแลด้วยซิลิโคน แผ่นปิดแผล หรือเลเซอร์ร่วมด้วยเพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นซ้ำอีก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแผลเป็นนูน แผลเป็นคีลอยด์ และแผลเป็นหดรั้ง
แผลเป็นแต่ละแบบ ควรรักษาอย่างไร?

แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) และ แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scar)
- ทาครีมลดรอยแผลเป็นกลุ่มซิลิโคนเจล
- แผ่นแปะซิลิโคนรักษาแผลเป็น
- การฉีดสเตียรอยด์
- การใช้เลเซอร์กลุ่ม Ablative Laser เช่น Fractional Co2, Erbium YAG, Fractional RF
- การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น
แผลเป็นหลุม (Atrophic Scar)
- การใช้เลเซอร์กลุ่ม Ablative Laser เช่น Fractional Co2, Erbium YAG, Microneedle RF
- การตัดพังผืดใต้แผล
- ฉีดสารเติมเต็ม
แผลเป็นแบบหดรั้ง (Contracture Scar)
- การผ่าตัดด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น การปลูกถ่ายผิวหนัง, Z-plasty, การผ่าตัดโดยใช้ถุงขยายเนื้อเยื่อ
แผลเป็นแบบรอยคล้ำ/รอยแดง (Post-inflammatory Hyperpigmentation/Redness)
- ทาครีมลดรอยแผลเป็น
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดจากผลไม้
- การใช้เลเซอร์กลุ่ม Non-ablative Laser เช่น Pico laser, Pulsed Dye Laser
ระยะเวลาในการรักษาแผลเป็น
การรักษาแผลเป็นมักใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่
- ชนิดและขนาดของแผลเป็น
- วิธีการรักษาที่เลือกใช้
- การตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล
ค่าใช้จ่ายในการรักษาแผลเป็น
ที่ Modella Clinic มีบริการรักษารอยแผลเป็นด้วยหลายหัตถการ ราคาเริ่มต้นดังนี้
- การฉีดสเตียรอยด์ ราคาเริ่มต้น 500 บาท/จุด
- Pico Laser ราคาเริ่มต้น 990 บาท/จุด
- Fractional CO2 ราคาเริ่มต้น 990 บาท/จุด
- Subcision ราคาเริ่มต้น 1,990 บาท/จุด
- Microneedle RF ราคาเริ่มต้น 2,990 บาท/จุด
5 วิธีง่าย ๆ ป้องกัน รอยแผลเป็น กวนใจ

การดูแลแผลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญมาก เพราะหากดูแลไม่ถูกวิธีอาจทำให้แผลอักเสบและกลายเป็นรอยแผลเป็นในภายหลังได้ วิธีป้องกันมี ดังนี้
- เลี่ยงการโดนน้ำ และทำแผลอย่างถูกวิธี โดยใช้น้ำเกลือล้างแผลหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่แพทย์แนะนำ ช่วยลดการอักเสบ เพราะการอักเสบจะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อมากกว่าปกติ
- เลี่ยงการแกะหรือเกาแผล ลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดรอยแผลเป็นชัดขึ้น
- ใช้แผ่นแปะซิลิโคนรักษาแผลเป็น เริ่มใช้ทันทีหลังแผลแห้ง ช่วยกระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูและลดการเกิดแผลเป็นนูน
- เลี่ยงอาหารที่ทำให้แผลหายช้า เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง แอลกอฮอล์ คาเฟอีน เนื้อแดง และไส้กรอก
- ใช้ครีมกันแดด เพื่อป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นคล้ำลงจากแสงแดด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลบ รอยแผลเป็น
รอยแผลเป็นหายเองได้ไหม?
รอยแผลเป็นบางชนิดสามารถจางลงเองได้ตามเวลา โดยเฉพาะ รอยแดงหรือรอยคล้ำ ที่เกิดหลังแผลหายใหม่ ๆ ซึ่งร่างกายจะค่อย ๆ ซ่อมแซมผิวและทำให้รอยดูจางลง แต่สำหรับ แผลเป็นนูน คีลอยด์ หรือหลุมสิว แม้จะสามารถรักษาให้จางลงและเรียบเนียนขึ้นได้ แต่ไม่อาจกลับมาเหมือนผิวเดิมได้ 100% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็น สิ่งสำคัญคือควรดูแลแผลตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพื่อง่ายต่อการรักษาในอนาคต
ใช้ครีมรักษาแผลเป็นนานแค่ไหนถึงเห็นผล?
การใช้ครีมลดรอยแผลเป็นให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรเริ่มใช้ตั้งแต่แผลแห้ง และต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ
- แผลเป็นขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 2–3 เดือน
- แผลเป็นขนาดใหญ่ อาจใช้เวลานาน 3–6 เดือน และควรทำร่วมกับวิธีรักษาอื่นเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า
เลเซอร์ลบรอยแผลเป็นเจ็บหรือไม่?
ความรู้สึกเจ็บขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้รักษา โดยทั่วไปการทำเลเซอร์จะรู้สึกเจ็บได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่หากเป็นเลเซอร์ที่กระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่จะค่อนข้างเจ็บ เนื่องจากจะใช้พลังงานสูง ก่อนทำจึงต้องมีการแปะยาชาอย่างน้อย 30-60 นาทีก่อนทุกครั้ง
สรุป
แผลเป็นแต่ละประเภทต้องการแนวทางการดูแลและรักษาที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์สภาพแผลและวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง ยิ่งเริ่มรักษาเร็ว โอกาสเห็นผลลัพธ์ที่ดีและง่ายต่อการดูแลก็ยิ่งมากขึ้น
โมเดลล่าคลินิก เราพร้อมให้คำปรึกษาและมีบริการรักษารอยแผลเป็นด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อคืนความมั่นใจของทุกท่านให้กลับมาอีกครั้ง



