หลุมสิว คืออะไร?
หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นบนผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิว เมื่อสิวหายแล้ว เนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากการอักเสบจะไม่สามารถกลับมาฟื้นฟูได้ตามปกติ ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมลึกบนผิวหนัง ซึ่ง ปัญหาหลุมสิวมักทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียนและส่งผลต่อความมั่นใจ
หลุมสิว เกิดจากอะไร?
หลุมสิว เกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรงจนทำลายเนื้อเยื่อลึกถึงชั้นผิวหนัง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ สิวถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง เมื่อกระบวนการอักเสบสิ้นสุดลง ผิวจะพยายามฟื้นฟูด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ แต่เนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นมาไม่แข็งแรงและยืดหยุ่นเหมือนเดิม ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมสิว ซึ่งหลุมสิวเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
- การอักเสบของสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวหนอง อาจทำลายชั้นผิวลึกลงไป ทำให้เกิดรอยหลุม
- การรักษาสิวที่ล่าช้า การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ทำให้สิวหายช้าและทิ้งรอยหลุมสิวไว้
- พฤติกรรมการบีบ แกะ หรือเกา กระตุ้นการอักเสบมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิว
- พันธุกรรม บางคนมีแนวโน้มที่จะเกิดหลุมสิวมากกว่าคนอื่นจากลักษณะของผิวและกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย
สิวแบบใด ที่ทำให้เกิดหลุมสิว
- สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ (Cyst) เป็นสิวขนาดใหญ่ที่มีหนองปนเลือดอยู่ภายในหัวสิว ใช้เวลาในการรักษานาน
- สิวอักเสบรุนแรง (Pustule) หรือสิวหัวหนอง อักเสบเรื้อรัง
- สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule)
หลุมสิว มีกี่ประเภท ?
หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท หลักๆ ได้แก่
1. Rolling Scar (หลุมแอ่งกระทะ) มีลักษณะคล้ายแอ่งเว้าหรือหลุมโค้งตื้น ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน มักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิดรอยขรุขระและเป็นคลื่น เป็นหลุมสิวที่ตื้นกว่าประเภทอื่น ๆ และรักษาง่ายที่สุด
2. Boxcar Scar (หลุมกล่อง) มีลักษณะหลุมกว้าง คล้ายสี่เหลี่ยมและเห็นขอบชัดเจน มักเกิดจากการที่สิวอักเสบแล้วเนื้อเยื่อบริเวณนั้นเสียหาย เป็นหลุมสิวที่ลึกปานกลางแต่กว้างกว่าหลุมสิวแบบ Ice Pick รักษายากระดับปานกลาง
3. Ice Pick Scar (หลุมสิวจิก) มีลักษณะหลุมแคบและลึก เหมือนโดนของแหลมเจาะลงไป มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวหนอง ที่ทำลายเนื้อเยื่อในระดับลึก จนผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาไม่สมบูรณ์ เป็นหลุมสิวที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และรักษายากที่สุด
หน้าเป็นหลุมสิว แก้ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
การรักษาหลุมสิวมีหลากหลายวิธี โดยส่วนใหญ่จะมีการใช้หลายเทคนิครักษาร่วมกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภท และความลึกของหลุมสิว วิธีการรักษาที่นิยม มีดังนี้
1. การใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
การใช้กรดลอกผิว เช่น การใช้ TCA (Trichloroacetic Acid) มีคุณสมบัติในการลอกผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้หลุดลอกออก เพื่อรักษาปัญหาผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิวหรือหลุมสิว เป็นต้น เหมาะกับ ผู้ที่มีหลุมสิวไม่ลึกมาก สามารถ ทำได้ทั้งหน้าหรือเฉพาะจุด และใช้ความเข้มข้นแตกต่างกันในแต่ละลักษณะของหลุมสิว
2. การตัดพังผืด (Subcision)
การตัดพังผืด เป็นการใช้เข็มแทงใต้ผิว เพื่อเลาะพังผืดชั้นใต้ผิวหนังที่ยึดติดใต้หลุมสิว หลังจาก 3 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มฟื้นฟู มีการกระตุ้นคอลลาเจน ผิวหลุมสิวค่อยๆ เติมเต็มขึ้น
3. การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว (Filler)
การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว เป็นสารประกอบไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตีน วิธีนี้มัก ทำร่วมกับการ Subcision เพื่อกระตุ้นให้ผิวหลุมสิว ฟื้นฟูและเติมเต็มไวขึ้น
4. Microneedling
Microneedling เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มลงที่ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว โดยจะทิ่มให้ถึงผิวหนังที่อยู่ใต้ฐานหลุมสิว ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งการใช้เข็มเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร ควรทำควบคู่กับวิธีอื่นร่วมด้วย
5. Pico laser
Pico laser เป็นการรักษาที่ไม่ทำให้เกิดการลอกของผิวหนัง จะเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยหัวเฉพาะของ PICO Laser สามารถช่วยลดรอยดำและรอยแดงจากสิวได้ แต่จะไม่เหมาะกับหลุมสิวที่ลึกมาก >> อ่านบทความ : Pico Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทำกี่ครั้งเห็นผล?
6. Fractional RF
Fractional RF เป็นการปล่อยคลื่นวิทยุที่ทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิว (Fractional RF) เหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีความลึกมาก แต่ยังต้องมีเวลาในการพักหน้าหลังเลเซอร์ เนื่องจาก อาจมีการหลุดลอกของผิวชั้นบน
7. Fractional CO2 Laser
Fractional CO2 Laser เป็นการยิงแสงเลเซอร์ในลักษณะจุดเล็กๆ ลงไปที่ผิว ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยฟื้นฟูและเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำ รอยแดง และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น เหมาะกับหลุมสิวที่มีขอบเขตด้านบนกว้าง แต่อาจต้องมีเวลาในการพักหน้าหลังเลเซอร์ >> อ่านบทความ : รักษาหลุมสิวด้วย Fractional CO2 Laser ข้อดี-ข้อเสีย ทำกี่ครั้งเห็นผล?
รักษาอย่างไร ให้หน้าหายขาดจากการเป็นหลุมสิว
การรักษาหลุมสิวให้หายขาดนั้น สามารถปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อวางแผนก่อนทำการรักษา โดย Modella Clinic จะตรวจวิเคราะห์ปัญหาหลุมสิวและผิวหน้าเฉพาะรายบุคคล เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะกับหลุมสิวแต่ละประเภท และใช้เทคนิคการรักษาที่เหมาะกับผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหลุมสิว
1. รักษาหลุมสิวด้วยตัวเองได้ไหม?
หากเป็นหลุมสิวไม่ลึกหรือเป็นรอยสิว สามารถรักษาด้วยตัวเองได้ เช่น การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid, Retinol เป็นต้น แต่สำหรับหลุมสิวลึก และเป็นมาเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษา
2. หลุมสิวลึกมากแก้ไขได้ไหม?
หลุมสิวลึกสามารถแก้ไขได้ แต่ต้องใช้หลายวิธีในการรักษาร่วมกัน เช่น การทำเลเซอร์ การใช้กรดลอกผิว ร่วมกับการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) และการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว ทั้งนี้อาจต้องใช้จำนวนครั้งในการรักษามากและเป็นเวลานาน
3. รักษาหลุมสิวกี่วันหาย?
ระยะเวลาการรักษาหลุมสิวขึ้นอยู่กับความลึกและวิธีการรักษาและความต่อเนื่องในการดูแล ซึ่งการรักษาด้วยหัตถการที่มีการลอกผิวด้านบน จำเป็นต้องมีการพักหน้า 1-2 สัปดาห์ และการรักษาหลุมสิวควรทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยทุก 1 เดือน
4. วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว
ควรเริ่มจากการป้องกันไม่ให้เกิดสิวและการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิว
- เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดสิว เช่น อาหารที่มีน้ำตาล ข้าว นม ชีส โยเกิร์ต ของทอด ช็อกโกแลต
- รักษาสิวไม่ถูกวิธี ปล่อยให้เกิดการอักเสบหนัก เช่น การฉีดสิว เพื่อลดการอักเสบของสิวก่อนได้
- ไม่ควรแกะ กดหรือบีบสิวอย่างรุนแรง
- ดูแลความสะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ลดการก่อให้เกิดสิว
- ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการทำลายจากรังสี UV
สรุป
หลุมสิว เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากสิวอักเสบหรือการรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี ทำให้เนื้อเยื่อผิวถูกทำลายจนเกิดรอยลึกและผิวไม่เรียบ หลุมสิวมีหลายประเภท สำหรับหลุมสิวไม่ลึก สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid หรือ Retinol ในการรักษา แต่หากเป็นหลุมสิวลึก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม เช่น เลเซอร์ การลอกผิว Subcision หรือการฉีดฟิลเลอร์