ไหมน้ำ คืออะไร?

ไหมน้ำ คือ นวัตกรรม Biostimulator ที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นไหม และนำมาผ่านกระบวนการ Nano technology ให้เกิดเป็นละอองผงที่สามารถละลายน้ำได้ ออกฤทธิ์ช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงระดับเซลล์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่จากภายใน ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ผิวยกกระชับ เติมเต็มริ้วรอยร่องลึกให้ตื้นขึ้น ปรับรูปหน้า เติมจุดพร่องของผิวให้ดูเต็มอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ

ไหมน้ำมีกี่ชนิด?

ไหมน้ำ มีกี่ชนิด

สารในไหมน้ำแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลักๆ ได้แก่

1. ไหมน้ำ ชนิด PDO (Polydioxanone)
ไหมน้ำชนิด PDO เป็นไหมที่ถูกพัฒนาให้เป็นโมเลกุลทรงกลมขนาดเล็ก เพื่อฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาด Volume ฟื้นฟูริ้วรอยตื้นๆ โดยเป็นสารชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้เพื่อเย็บแผลผ่าตัด ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

2. ไหมน้ำ ชนิด PCL (Polycarpolactone)
ไหมน้ำชนิด PCL เป็นไหมละลายที่พัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยี CESABP สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูผิว มีความยืดหยุ่น กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

3. ไหมน้ำ ชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid)
ไหมน้ำชนิด PLLA เป็นสารสังเคราะห์จากพืช เป็นไหมน้ำตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก USFDA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก เพื่อลดริ้วรอย ยกกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ อยู่ได้นาน 2 ปี

4. ไหมน้ำ ชนิด PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)
ไหมน้ำชนิด PDLLA ถูกพัฒนามาจากประเทศเกาหลีใต้ มีรูปร่างเป็นทรงกลมคล้ายฟองสบู่ ไม่มีเหลี่ยม ทำให้ลดการบาดเจ็บต่อผิวหนังรอบๆ ลดโอกาสการเกิดก้อนและไต จึงสามารถฉีดในผิวชั้นตื้นสำหรับงานผิว glass skin และสามารถฉีดบริเวณใต้ตาได้ อยู่ได้นาน 1 – 1.5 ปี

ไหมน้ำช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างไร?

หลังจากการฉีดไหมน้ำไปในชั้นผิว บริเวณนั้นจะเกิด Immune Process ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องร่างกายจากเจอเชื้อโรค โดยจะเข้ามาทำปฏิกิริยาห่อหุ้มไหมน้ำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เมื่อเวลาผ่านไป สารจะสลายตัวไปเองเหลือเป็นคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความเต่งตึง ยกกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆดูจางลง

ร้อยไหม คืออะไร?

การร้อยไหม คือ การใช้เข็มนำไหมละลายสอดลงไปใต้ชั้นผิวหนังบริเวณต่าง ๆ เพื่อยกกระชับผิว โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด เส้นไหมสามารถละลาย และสลายไปได้เองโดยไม่ตกค้างในร่างกาย

ประเภทไหมที่ใช้ร้อยหน้าจะมีด้วยกัน 2 ประเภท

1. ไหมไม่ละลาย
ทำจากวัสดุ เช่น ทองคำ, พลาสติก เป็นต้น มีข้อเสียตรงที่ไม่สามารถ ผ่านเครื่อง CT-scan, เครื่อง MRI  หรือเครื่อง X-ray ได้ เพราะไม่สามารถทนความร้อนสูงได้ จึงอาจส่งผลทำให้บริเวณที่มีการร้อยไหมอาจบิดเบี้ยวหรือหย่อนคล้อยลงได้ และที่สำคัญวัสดุเหล่านี้ไม่สามารถละลายได้เองตามกระบวนการสลายของร่างกาย ทำให้ในปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้งานแล้ว

2. ไหมละลาย

ไหมละลาย มีกี่ชนิด

เป็นเส้นไหมที่ผลิตจากวัสดุที่สามารถสลายได้ตามกลไกของร่างกาย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างที่จะหลงเหลืออยู่ วัสดุที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

1. ไหม PDO (Polydioxanone)
นิยมในการนำมาร้อยไหมที่สุด มีความยืดหยุ่นระดับกลาง มีความนิ่ม และไม่เกิดการเปราะหักได้ง่าย ไม่มีสารก่อให้เกิดอาการแพ้ และเป็นไหมที่ใช้ทางการแพทย์ ในการผ่าตัดเย็บเส้นเลือดหัวใจ ละลายหมดภายใน 6 – 8 เดือน สามารถจำแนกออกมาได้อีกตามลักษณะพิเศษของเส้นไหม ดังนี้

  • ไหมเรียบ (Mono Threads) ลักษณะเป็นเส้นเรียบ นิยมนำมาร้อยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิวที่ตื้น 
  • ไหมเกลียว (Screw Threads) ลักษณะเป็นเส้นเกลียว 1 เส้น หรือพันกันสองเส้น ให้ความแข็งแรงมากกว่าชนิดแรก สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากกว่าไหมเรียบตรง
  • ไหมเงี่ยง (Cog Threads) ลักษณะเป็นเส้นมีเงี่ยงคล้ายก้างปลา ทำให้ยึดเกาะกับผิวได้ดี จึงช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กระเปาะแก้มหรือร่องแก้มลึก

2. ไหม PLLA (Polylactate)
ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับไหมเงี่ยง มีความแข็งแรง ลักษณะจะแข็งกว่าชนิดอื่นๆ ไม่ค่อยมีความยืดหยุ่น จึงมีปัญหาในเรื่องของการแตกหัก และเปราะง่าย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 8 – 12 เดือน

3. PCL หรือ Polycaprolactone
เป็นเส้นไหมสีขาว มีลักษณะเป็นไหมเงี่ยง มีขนาดใหญ่ มีความแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นสูงที่สุด มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะมากกว่า แก้ไขปัญหาความหย่อยคล้อยได้มากกว่าไหมก้างปลาทั่วๆ ไป  อยู่ได้นาน 12 – 18 เดือน

การร้อยไหมสามารถช่วยปัญหาใดได้บ้าง

  1. การร้อยไหมเพื่อยกกระชับ ปรับรูปหน้า

จะใช้เส้นไหมที่มีขนาดใหญ่และมีเงี่ยง เพื่อให้ไหมเกาะกับผิวในตำแหน่งที่หย่อนคล้อย แล้วดึงให้เกิดการยกกระชับขึ้น เช่น ไหมทอนาโด ไหมก้างปลา ไหมล็อค เป็นต้น โดยจะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังร้อยเสร็จ และจะมีการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามแนวการร้อยไหมอีกด้วย

  1. การร้อยไหมเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ผิวใส

จะใช้ไหมเส้นเล็ก (Mono thread) ผิวเรียบ อย่างน้อย 40-50 เส้นขึ้นไป ร้อยไปในผิวชั้นตื้นกว่าไหมเงี่ยง ร้อยแบบสานกัน เพื่อให้ผิวส่วนนั้นเกิดคอลลาเจนขึ้น เห็นผลในเรื่องของผิวแน่น เฟิร์ม ยกกระชับได้ แต่ไม่เท่าไหมที่มีเงี่ยง

  1. การร้อยไหมจมูกเพื่อให้สันคมชัด

จะใช้ไหมเส้นใหญ่ หรือไหมเส้นเล็กหลายเส้นเพื่อการเติมเต็มสันจมูกทันที หลังการร้อยแล้วจะมีการสร้างคอลลาเจนตามแนวที่มีการร้อย

ไหมน้ำ VS  ร้อยไหม ต่างกันอย่างไร?

วิธีการทำ

ไหมน้ำ
ไหมน้ำจะเป็นการฉีดในรูปแบบสารละลาย เข้าไปใต้ชั้นผิวทั่วทุกจุดของใบหน้าที่ต้องการให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้และการประเมินจากแพทย์ผู้รักษา

ร้อยไหม
แพทย์จะสอดไหมทีละเส้นเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังถึงชั้นเนื้อเยื่อ SMAS จากนั้นผิวจะถูกไหมเกี่ยวขึ้นมาตามทิศทางการดึงของแพทย์ ทำให้ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้น

ผลลัพธ์

ไหมน้ำ
ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ฟื้นฟูผิว ให้ผิวดูอิ่มฟู แลดูอ่อนเยาว์ ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเรียวกระชับขึ้น เติมเต็มเพิ่ม Volume ปรับรูปหน้า กระตุ้นคอลาเจนในระยะยาว สร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

ร้อยไหม
ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้ชัดเจนหลังทำทันที และยังกระตุ้นคอลลาเจนตามแนวไหม ช่วยลดเลือนริ้วรอย เสริมความเต่งตึงให้กับผิว

ระยะเวลาเห็นผล

ร้อยไหม
เห็นผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวทันทีหลังทำ ระยะเวลาของผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ หากเป็นไหมชนิด PDO จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 8 เดือน ชนิด PCL ประมาณ 12 – 18 เดือน และชนิด PLLA ประมาณ 8-12 เดือน

ไหมน้ำ
หลังจากฉีดไหมน้ำจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีด 2 – 4 สัปดาห์ ผลลัพธ์ของไหมน้ำอยู่ได้นานขึ้นอยู่กับชนิดใหม่น้ำที่ใช้ หากเป็นไหมน้ำชนิด PDO จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 8 เดือน ชนิด PCL ประมาณ 6 – 12 เดือน ชนิด PLLA ประมาณ 2 ปี และชนิด PDLLA ประมาณ 1-1.5 ปี

ไหมน้ำ VS  ร้อยไหมแบบไหนเหมาะกับใคร?

ไหมน้ำ

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวเสื่อมสภาพ ต้องการฟื้นฟู และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว 
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ลดเลือนริ้วรอยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็น รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่ต้องการเติมเต็มจุดบกพร่องของใบหน้าให้อิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ

ร้อยไหม

  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลเรื่องการปรับรูปหน้า ยกหน้าชัดเจน
  • ผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยปานกลาง ช่วงอายุ 30-50 ปี 
  • ผู้ที่ยังไม่ต้องการยกกระชับใบหน้าด้วยวิธีการผ่าตัด

วิธีเตรียมตัวก่อนการร้อยไหมและฉีดไหมน้ำ

  • งดวิตามิน อาหารเสริม เช่น น้ำมันตับปลา แปะก๊วย จิงโก๊ะ วิตามินอี และงดยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ประมาณ 1 สัปดาห์
  • กรณีร้อยไหม หากมีนัดทำฟัน ควรทำฟันก่อน เพราะหลังร้อยไหมจำเป็นต้องงดการอ้าปากกว้าง 4 สัปดาห์
  • หากมีปัญหาผิวหนังบนใบหน้า เช่น ผิวหนังอักเสบ เป็นสิวรุนแรง ควรรักษาให้หายดีก่อน
  • หากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า

วิธีดูแลหลังการร้อยไหมและฉีดไหมน้ำ

ไหมน้ำ

  • งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังทำ
  • งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังทำ ป้องกันรูเข็มติดเชื้อ
  • งดทำเลเซอร์ หรือออกกำลังกายหนัก ประมาณ 2 สัปดาห์หลังทำ
  • ดื่มน้ำฃ 8-10 แก้วต่อวัน และรับประทานผักผลไม้ เพื่อผิวพรรณที่ดี

ร้อยไหม

  • หลังทำควรรับประทานยาปฏิชีวนะ และยาแก้ปวด ตามระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
  • ประคบเย็นบริเวณที่ร้อยไหมประมาณ 3 วัน เพื่อลดอาการบวม
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ ของหมักดอง อาหารรสจัด 2 สัปดาห์ ป้องกันหน้าบวมอักเสบ
  • งดทำทรีทเม้นท์ นวดหน้า 4 สัปดาห์ ป้องกันไหมเคลื่อน
  • ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดรูเปิดเข็ม วันละ 2 – 3 ครั้ง และทายาตามแพทย์สั่ง
  • บริเวณรูเปิดเข็มงดโดนน้ำ และงดแต่งหน้า 2 วัน ป้องการแผลติดเชื้อ

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง

ไหมน้ำ
หลังทำอาจพบอาการบวม แดง บริเวณที่ฉีดได้ แต่สามารถหายได้เองภายใน 1-3 วัน ส่วนผลข้างเคียงระยะยาวคืออาจพบก้อนนูน ซึ่งเกิดจากการฉีดผิดระดับชั้นผิว หรือฉีดปริมาณมากเกินไป พบได้ในเคสที่แพทย์ไม่มีความชำนาญหรือประสบการณ์ที่มากพอ

ร้อยไหม
หลังทำอาจมีอาการตึง ระบมบริเวณที่ร้อยไหม อาการจะค่อยๆดีขึ้นและหายได้เองภายใน 4-7 วัน ควรระวังการแสดงสีหน้า เช่น การอ้าปากกว้าง การเคี้ยวอาหารแข็ง  ประมาณ 4 สัปดาห์ เพราะหากไหมยังไม่เซ็ตตัวดีอาจทำให้ขาดได้ นอกจากนี้การเอามือกด นวดหน้าแรงๆ อาจทำให้ไหมเคลื่อนและอาจเกิดการติดเชื้อได้

ร้อยไหม VS ไหมน้ำ แบบไหนดีกว่ากัน?

ร้อยไหม VS ไหมน้ำ แบบไหนดีกว่ากัน

ไหมน้ำ

ข้อดี

  • ไม่เกิดรอยแผล หรืออาการบาดเจ็บเป็นวงกว้าง
  • ลดการเสี่ยง ติดเชื้อ
  • ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำหัตถการ
  • ระยะเวลาในการทำหัตถการน้อยกว่า
  • สามารถกระจายตัวยาไปทั่วใบหน้าได้ดี กระตุ้นได้ทั่วถึงมากกว่า

ข้อเสีย

  • ผลการยกผิวหน้าไม่ได้เยอะเท่าการร้อยไหม
  • ราคาแพง
  • หลังทำหัตถการอาจมีอาการบวมในบางเคส
  • ใช้ระยะเวลาในการเห็นผลช้า ประมาณ 2-4 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นผล
  • หากทำหัตถการผิดจุด หรือแพทย์ไม่มีความชำนาญ มีโอกาสทำให้หลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อตายได้

ร้อยไหม

ข้อดี

  • เงี่ยงของเส้นไหมยกผิวหน้าได้ดี และเห็นการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าชัดเจน
  • ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังทำ
  • เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  • เส้นไหมละลายโดยที่ไม่เหลือสารตกค้างในร่างกาย 

ข้อเสีย

  • อาจจะมีอาการบวม ฟกช้ำช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังทำ
  • อาจทำให้เกิดพังผืดได้ถ้าร้อยไม่ถูกวิธี
  • เลือดอาจไหลออกมามาก และเสี่ยงการติดเชื้อได้มากกว่า

สรุป

การฉีดไหมน้ำและการร้อยไหม เป็นหัตการที่ใช้ชนิดของสารที่สามารถย่อยสลายได้เองโดยไม่ตกค้างในร่างกายเหมือนกัน ต่างกันที่วิธีการทำและผลลัพธ์ที่ได้ การฉีดไหมน้ำเหมาะสำหรับฟื้นฟูผิวลึก กระตุ้นคอลลาเจน และยกกระชับแบบค่อยเป็นค่อยไป เห็นผลยาวนาน ส่วนการร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ต้องการผลลัพธ์ทันที และปรับรูปหน้าให้ชัดเจน