สิวหิน คืออะไร?

สิวหิน (Syringoma)

สิวหิน (Syringoma) คือ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง ที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของต่อมเหงื่อ (Eccrine Sweat Gland) ลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ บนผิวหนัง มีสีขาวขุ่นหรือเหลืองอ่อน ขนาดประมาณ 1–2 มิลลิเมตร แม้สิวหินจะไม่อันตราย แต่สิวหินมักสร้างความกังวลใจ เพราะทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน แต่งหน้ายาก และส่งผลต่อความมั่นใจได้

บริเวณที่มักเกิดสิวหิน

8 บริเวณที่มักเกิดสิวหิน
  1. สิวหินที่หน้าผาก
    หน้าผากเป็นจุดที่มีการผลิตน้ำมันและเหงื่อสูง ทำให้เกิดสิวหินได้ง่าย อีกทั้งยังมักมีสิวอุดตันหรือสิวผดร่วมด้วย จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นสิวทั่วไป
  2. สิวหินรอบดวงตา
    ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือรอบดวงตา โดยเฉพาะใต้ตาและเปลือกตาล่าง มักขึ้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ หลายเม็ดเรียงชิดกัน ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและแต่งหน้าได้ยาก
  3. สิวหินที่จมูก
    แม้จะไม่พบบ่อย แต่สิวหินสามารถเกิดขึ้นบริเวณสันจมูกหรือข้างจมูกได้ ลักษณะเป็นตุ่มแข็งเล็ก ๆ ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวเสี้ยนหรือสิวอุดตัน
  4. สิวหินที่แก้ม
    สิวหินที่แก้มมักเกิดบริเวณโหนกแก้มมากกว่าส่วนอื่น ขณะที่แก้มช่วงล่างมักพบสิวประเภทอื่น เช่น สิวผดหรือสิวอักเสบมากกว่า
  5. สิวหินที่ลำคอ
    มักเป็นตุ่มเล็ก ๆ กระจายตัว ไม่เจ็บ ไม่คัน แต่ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อมเหงื่อ ร่วมกับความอับชื้นและการเสียดสีจากเสื้อคอปิดหรือเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ
  6. สิวหินที่หน้าอก
    เกิดจากความอับชื้น เหงื่อ และการเสียดสีกับเสื้อผ้า โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย แม้ไม่พบบ่อยเท่าบริเวณใบหน้า แต่ก็สร้างความไม่มั่นใจได้
  7. สิวหินที่หลัง
    คล้ายกับสิวหินที่หน้าอก มักเกิดจากเหงื่อออกมากจนผิวเปียกชื้น ทำให้ท่อเหงื่อทำงานผิดปกติและก่อตัวเป็นตุ่มแข็งเล็ก ๆ ใต้ผิว แม้พบไม่บ่อย แต่หากเกิดขึ้นจะทำให้ผิวหลังไม่เรียบเนียน
  8. สิวหินที่รักแร้และขาหนีบ
    สองตำแหน่งนี้มีโอกาสเกิดสิวหินได้สูง เนื่องจากเป็นบริเวณที่อับชื้นและเกิดการเสียดสีบ่อย ทำให้ท่อเหงื่ออุดตันและก่อตัวเป็นสิวหิน

สิวหินเกิดจากอะไร?

สิวหิน

สิวหินเกิดจาก การเจริญเติบโตผิดปกติของต่อมเหงื่อ (Sweat Gland) ทำให้เกิดเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เรียกว่า Syringoma ซึ่งไม่สามารถหายไปเองได้ง่าย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหิน

  • ความผิดปกติของต่อมเหงื่อ ต่อมเหงื่อเจริญผิดปกติจนกลายเป็นตุ่มแข็งใต้ผิว
  • พันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวหิน ทำให้มีแนวโน้มเป็นสิวเห็นได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
  • อายุและฮอร์โมน มักพบสิวหินได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมากกว่าปกติอาจกระตุ้นให้เกิดสิวหินได้ 
  • การใช้ยาหรือครีมบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ อาจกระตุ้นให้ท่อเหงื่อขยายตัวและเกิดเป็นสิวหินได้
  • ผิวที่มีแนวโน้มเกิดสิวง่าย เช่น ผู้ที่ผิวมันหรือรูขุมขนอุดตันง่าย อาจสังเกตว่ามีโอกาสเกิดสิวหินมากกว่าคนผิวแห้ง
  • การบาดเจ็บหรือการระคายเคืองผิว บางกรณีผิวหนังที่ผ่านการบาดเจ็บหรืออักเสบอาจกระตุ้นให้เกิดสิวหินในจุดนั้น

ใครที่มีโอกาสเป็นสิวหินบ่อย

สิวหิน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ก็มีบางกลุ่มที่พบได้บ่อยกว่าคนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมน และพฤติกรรมการดูแลผิว ได้แก่

  • เพศหญิง จากสถิติพบว่าสิวหินขึ้นกับผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะรอบดวงตา
  • วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวหิน หากพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเคยมีสิวหิน ก็มีโอกาสถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • ผู้ที่ผิวมันหรือมีแนวโน้มอุดตันง่าย แม้สิวหินจะไม่ใช่สิวอุดตัน แต่ผิวมันมักมีโอกาสเกิดปัญหาผิวชนิดนี้มากขึ้น
  • ผู้ที่มักมีการอักเสบของผิวหนังบ่อย ๆ เช่น จากโรคประจำตัว หรือการใช้ยาหรือครีมที่รุนแรงต่อผิวหนังมากเกินไป

สิวหินต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร

สิวหินต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร

สิวหินมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวชนิดอื่น เช่น สิวผด สิวอุดตัน หรือสิวข้าวสาร เพราะลักษณะภายนอกคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วสาเหตุการเกิดแตกต่างกันชัดเจน

  • สิวอักเสบ (Inflammatory acne) เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันในรูขุมขม เมื่อมีการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดเป็นสิวอาการอักเสบ มีอาการเจ็บ บวมแดงและอาจมีหนอง
  • สิวผด (Acne Estivalis) เป็นสิวหัวเปิด ลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ คล้ายผดผื่น มักถูกกระตุ้นจาก ความร้อน แสงแดด มลภาวะ หรือรังสี UV
  • สิวอุดตัน (Comedones) เกิดจากการสะสมของไขมันส่วนเกิน สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพสะสมในรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวอุดตันทั้งหัวเปิดและหัวปิด
  • สิวข้าวสาร (Milia) เกิดจากการสะสมของเคราตินใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวคล้ายเม็ดข้าวสาร มักพบบริเวณรอบดวงตา
  • สิวหิน (Syringoma) เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง ที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของต่อมเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ กระจายเป็นกลุ่ม หายเองไม่ได้ และไม่สามารถบีบหรือกดออกได้ ต้องใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม

สิวหินไม่ใช่สิวที่เกิดจากการอุดตัน แต่เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ แม้ไม่อันตราย แต่การรักษาต้องอาศัยหัตถการเฉพาะ เช่น เลเซอร์หรือการจี้ออก ไม่สามารถใช้ยาทาสิวหรือกดสิวแบบทั่วไปได้

วิธีรักษาสิวหิน

4 How to รักษาสิวหิน

สิวหินไม่สามารถหายเองได้เหมือนสิวทั่วไป และไม่ควรบีบหรือกดออกเอง เพราะเสี่ยงทำให้ผิวอักเสบและเกิดแผลเป็น การรักษาที่ถูกต้องควรทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีที่นิยมใช้ มีดังนี้

  1. การใช้ยาทาและครีมบำรุง

    ใช้ยาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA), กรดซาลิไซลิก (BHA) หรือเรตินอยด์ (Retinoid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว วิธีนี้ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหินใหม่ แต่ไม่สามารถกำจัดสิวหินที่มีอยู่แล้วให้หายไปได้

  2. การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Treatment)

    เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เช่น CO2 Laser สามารถทำลายก้อนสิวหินเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แผลหายเร็ว ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น เหมาะกับผู้ที่มีสิวหินจำนวนมาก และสามารถรักษาได้ทุกขนาด

  3. การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery)

    ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่สูงจี้ไปที่สิวหิน ทำให้สิวฝ่อตัวและค่อย ๆ หลุดออก ได้ผลดี แต่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวหินจำนวนไม่มาก

  4. การผ่าตัด (Excision)

    ใช้เข็มหรือเครื่องมือแพทย์กรีดนำก้อนสิวหินออกโดยตรง ต้องทำในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัย เหมาะกับสิวหินที่มีขนาดใหญ่ หรือกรณีที่ต้องการกำจัดออกแบบถาวร

การรักษาสิวหินมีหลายวิธี ทั้งเลเซอร์ จี้ไฟฟ้า ผ่าตัดเล็ก หรือการใช้สารผลัดเซลล์ผิว ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ขนาด และจำนวนสิวหิน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวของคุณ

ข้อควรระวังในการรักษาสิวหิน

ข้อควรระวัง!!ในการรักษาสิวหิน

การรักษาสิวหินควรทำอย่างถูกวิธี เพราะหากรักษาผิดพลาดอาจทำให้ผิวเกิดรอยแผลถาวรได้ สิ่งที่ควรระวัง ได้แก่

  • ห้ามบีบหรือกดสิวหินเอง เพราะสิวหินไม่ใช่สิวอุดตัน การบีบจะทำให้ผิวอักเสบและเกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็น
  • เลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าควรใช้เลเซอร์ จี้ไฟฟ้า หรือวิธีอื่น
  • ดูแลแผลหลังการรักษา หลีกเลี่ยงการแกะ เกา และป้องกันการติดเชื้อ เช่น ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดและทายาตามที่แพทย์สั่ง
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด รอยแผลหลังการเลเซอร์หรือจี้สิวหินอาจเกิดรอยดำง่าย ควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ไม่ควรซื้อยาทาหรือครีมรักษาสิวทั่วไปมาใช้เอง เพราะครีมรักษาสิวอุดตันหรือสิวอักเสบไม่สามารถทำให้สิวหินหายได้

วิธีป้องกันสิวหินไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

วิธีป้องกัน สิวหิน ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

แม้การรักษาจะช่วยกำจัดสิวหินออกไปได้ แต่หากไม่ดูแลผิวอย่างถูกวิธี ก็อาจมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีก ดังนั้นจึงควรดูแลตนเอง เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

  1. รักษาความสะอาดของผิว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงครีม เครื่องสำอาง หรือยาที่รุนแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบ
  2. หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือแกะสิวหิน อาจทำให้ผิวบาดเจ็บเพิ่มความเสี่ยงให้สิวหินกระจายมากขึ้น และอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็น
  3. ลดปัจจัยที่กระตุ้นผิว หลีกเลี่ยงความร้อนจัด มลภาวะ ฝุ่นควัน และการเสียดสีบ่อย ๆ ที่อาจกระตุ้นการทำงานผิดปกติของต่อมเหงื่อ
  4. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ปกป้องผิวจากรังสี UV ลดการระคายเคืองของผิวและท่อเหงื่อ ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดสิวหินซ้ำ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวหิน

Q: สิวหินอันตรายไหม?

A: สิวหินเป็นเนื้องอกต่อมเหงื่อหรือท่อเหงื่อชนิดไม่อันตราย ไม่กลายเป็นมะเร็งผิวหนัง แต่ส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจในบุคลิกภาพ

Q: สิวหินบีบออกเองได้หรือไม่?

A: ไม่สามารถบีบหรือกดออกเองได้ เนื่องจากสิวหินเป็นเนื้องอก ไม่ใช่สิวอุดตัน การบีบออกไม่ทำให้หาย แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดรอยแผลเป็นถาวร จำเป็นต้องรักษาด้วยหัตถการ เช่น CO2 Laser หรือวิธีทางการแพทย์อื่น ๆ

Q: สิวหินหายเองโดยไม่ต้องรักษาได้หรือไม่?

A: สิวหินจะไม่ยุบหรือหลุดหายไปเอง จำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์ เช่น CO2 Laser หรือการจี้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว

Q: สิวหินกับสิวข้าวสารเหมือนกันไหม?

A: สิวหินกับสิวข้าวสารแม้จะดูคล้ายกัน แต่สาเหตุแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิวข้าวสารเกิดจากเคราตินสะสมใต้ผิวหนัง ส่วนสิวหินเกิดจากการเจริญผิดปกติของต่อมเหงื่อ

Q: ใช้ครีมทาสิวหรือยาลดการอักเสบแล้วสิวหินจะหายไหม?

A: ยาทาสิวหรือยาลดการอักเสบไม่สามารถรักษาสิวหินได้ เนื่องจากสิวหินไม่ใช่สิวอุดตันหรือสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ

สรุป

สิวหิน เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อหรือท่อเหงื่อที่ไม่สามารถหายเองได้ การเข้าใจสาเหตุและวิธีรักษาที่ถูกต้องช่วยให้จัดการสิวหินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีที่เห็นผลชัดเจนที่สุดคือ CO2 Laser และ การจี้ไฟฟ้า หากคุณกำลังเผชิญปัญหาสิวหินที่เป็นมานานและไม่หายสักที ควรเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่ โมเดลล่าคลินิก เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด และช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีกในอนาคต