ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร ? และวิธีรักษาแบบตรงจุดให้ถึงต้นตอ

ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร ? และวิธีรักษาแบบตรงจุดให้ถึงต้นตอ

ปัญหาความผิดปกติของสีผิวบนใบหน้าที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้น ๆ คือ ฝ้า กระ ที่ถึงแม้จะไม่มีผลต่อความเจ็บป่วยทางกาย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในด้านจิตใจของผู้ที่เป็น โมเดลล่าคลินิกจะพามาเจาะลึกปัญหาฝ้า กระ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร ต่างกันอย่างไร และแนวทางการรักษา มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

สารบัญ

ฝ้า คืออะไร ?

ฝ้า คืออะไร?

ฝ้า (Melasma) เกิดจากภาวะผิวหนังที่มีการคล้ำขึ้นอย่างผิดปกติของสีผิว เนื่องจากมีการสร้างเม็ดสี  Melanin ในผิวหนังมากเกินปกติ ทำให้เกิดลักษณะเป็นปื้นราบ (patch) สีน้ำตาล รูปทรงไม่แน่นอน ซึ่งอาจมีโทนสี ความเข้ม และความคมชัดของขอบเขตแตกต่างกันไปตามปริมาณและการกระจายของเม็ดสี Melanin ในชั้นผิวหนัง มักพบบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผากแก้มจมูก เหนือริมฝีปากบน หรือบริเวณอื่นของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ

สาเหตุการเกิดฝ้า

  1. พันธุกรรม พบว่าหากมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นฝ้า โอกาสเกิดฝ้าก็จะสูงขึ้น
  2. รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จะทำให้ฝ้าคล้ำขึ้นได้และเพิ่มจำนวนขึ้น 
  3. ฮอร์โมน มักพบว่าฝ้าที่เกิดขึ้นใหม่และฝ้าที่เป็นอยู่แล้วเข้มขึ้นภายหลังจากการได้รับยาคุมกำเนิด และขณะตั้งครรภ์ 
  4. ยา ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เป็นต้น อาจมีส่วนทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
  5. ปัจจัยอื่นๆ แสงที่มองเห็นได้ อาจส่งผลต่อการเกิดฝ้าได้

ฝ้า มีกี่ประเภท ?

ฝ้า มีกี่ประเภท?

แบ่งตามสาเหตุการเกิด ได้แก่

ฝ้าแดด

เกิดจากแสงแดดซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)  ไปกระตุ้นเซลล์ Melanocyte ทำให้มีการเพิ่มจำนวนและทำงานมากขึ้น และทำให้การสร้างเม็ดสี Melanin ในปริมาณที่มากขึ้น


ฝ้าเลือด

มีลักษณะเด่นคือมักเป็นปื้นสีแดง เกิดจากความผิดปดติของระบบฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือจากการใช้ยางบางประเภทที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยบนผิวหน้าทำงานผิดปกติ เช่น เส้นเลือดฝอยแตก มีเลือดกระจุกอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งภายใต้ชั้นผิวหนัง


ฝ้าสเตียรอยด์

เกิดจากการใช้ยาหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ทำให้ผิวอักเสบ ผิวบางลง เกิดอาการด่างขาว และเกิดฝ้าเป็นปื้น

แบ่งตามระดับความลึก ได้แก่

ฝ้าตื้น

ลักษณะมีสีน้ำตาลเข้ม เห็นขอบได้อย่างชัดเจน เกิดในระดับผิวชั้นหนังกำพร้า ฝ้าชนิดนี้เกิดง่ายและสามารถรักษาได้ง่ายเช่นกัน


ฝ้าลึก

เกิดในระดับผิวชั้นหนังแท้ มีสีน้ำตาลอ่อนหรือ สีน้ำตาลอมเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน มักกลืนไปกับผิว รักษายากกว่าฝ้าตื้น


ฝ้าผสม

มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก เกิดขึ้นที่ผิวหน้า เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในผู้ที่ประสบปัญหาเรื่องฝ้า

กระ คืออะไร ?

กระ คืออะไร?

กระ (Freckles) เกิดจากการกระจุกตัวของเซลล์ Melanocyte หลายเซลล์ บริเวณเดียวกันเป็นหย่อม ๆ มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลจาง ๆ จนถึงเข้ม ขอบเขตชัด ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก มักพบได้ทั้งบริเวณใบหน้าหรือบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ลำคอ หลังมือ

สาเหตุการเกิดกระ

  1. เชื้อชาติ พันธุกรรม กระมักพบได้บ่อยในคนที่มีเชื้อชาติตะวันตก และหากมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นกระ โอกาสเป็นก็จะสูงขึ้น
  2. รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) กระตุ้นให้เป็นกระได้เช่นเดียวกับการเกิดฝ้า โดยเฉาะเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน
  3. ฮอร์โมน เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดประจำ หรือทานยาเกี่ยวฮอร์โมน มีโอกาสเกิดฝ้าได้มากขึ้นเช่นเดียวกับฝ้า
  4. อายุที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเซลล์ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ ผิวบางลง จึงเกิดเป็นจุดด่างดำ ฝ้า กระได้ง่ายขึ้น

กระ มีกี่ประเภท ?

กระ แต่ละแบบ ต่างกันอย่างไร

กระแดด

มักเกิดนอกร่มผ้าที่ถูกแดด เช่น ใบหน้า อกส่วนบน หลังมือ แขน เป็นต้น เมื่อเริ่มเป็นมักจะเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร จากสีน้ำตาลจางๆ ต่อมาสีจะเข้มขึ้น และรวมกันเป็นจุดใหญ่ๆ กระแดดมักพบในกลุ่มคนที่มีผิวขาวและมีการแอบแดดมาก ๆ หรือกลุ่มคนสูงอายุ


กระตื้น

มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลจุดเล็กๆ สีอ่อนถึงเข้ม ขนาด 2- 4 มิลลิเมตร มีขอบเขตชัด มักขึ้นที่บริเวณโหนกแก้มและจมูกของคนที่มีผิวขาวและบาง  อาจสังเกตว่าสีจางลงได้ ถ้าเลี่ยงแสงแดด แต่จะไม่จางหายไปทั้งหมด


กระลึก

เป็นกระที่อยู่ในผิวชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นแผ่น สีออกเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน มีขนาดใหญ่กว่ากระตื้น พบได้ทั้งบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง หน้าผาก ขมับ และจมูก มักไม่จางหายไปเอง และจะเข้มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การรักษาทำได้ค่อนข้างยาก พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย


กระเนื้อ

มีลักษณะเป็นก้อนเม็ดเล็กๆ นูนขึ้นมาบนผิวหนัง พบได้ทั้งสีน้ำตาล ดำ หรืออาจไม่มีสีก็ได้ มักพบบ่อยบริเวณขมับโหนกแก้ม กรอบหน้า ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายแต่บางกรณีอาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งผิวหนังได้

 ฝ้า VS กระ แตกต่างกันอย่างไร ?

ฝ้า VS กระ แตกต่างกันอย่างไร ?

ฝ้า:

  • ลักษณะ: จุดสีเข้มขนาดใหญ่ มักมีขอบไม่ชัดเจน
  • สี: น้ำตาลอ่อนถึงเข้ม
  • ตำแหน่ง: เกิดบริเวณแก้ม หน้าผาก จมูก และริมฝีปากบน
  • สาเหตุ: เกิดจากฮอร์โมน แสงแดด และพันธุกรรม
  • การเกิด: มักเกิดในวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิง

กระ:

  • ลักษณะ: จุดเล็กๆ กระจายตัว
  • สี: น้ำตาลอ่อนหรือสีส้ม
  • ตำแหน่ง: เกิดได้ทั่วใบหน้า และบางครั้งก็พบที่ลำคอหรือมือ
  • สาเหตุ: เกิดจากพันธุกรรมและการสัมผัสแสงแดด
  • การเกิด: พบตั้งแต่วัยเด็ก และอาจเข้มขึ้นเมื่อโตขึ้น

วิธีรักษาฝ้า กระ มีอะไรบ้าง ?

การรักษาในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้ ฝ้า กระ หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้จางลงและลดการกลับมาเป็นซ้ำน้อยลงได้ อย่างไรก็ตามมีฝ้า กระ บางชนิดที่สามารถกำจัดออกไปได้อย่างถาวร ดังนั้นจึงควรทราบก่อนว่าปัญหาที่พบอยู่นั้น เป็นฝ้า หรือกระแบบไหน เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้อง

1. การรักษาด้วยการทายา

ได้ผลดีกับผู้ที่เป็นฝ้าหรือกระที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นๆ แต่อาจต้องใช้เวลาในการทายาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล โดยยาที่ใช้รักษามีหลายชนิด ได้แก่ Retinoic Acid, Hydroxyquinone, Azelaic Acid, Kojic Acid, Corticosteroids, Glycolic Acid ซึ่งความเข้มข้นของสารในครีมทาฝ้าจะมีปริมาณแตกต่างกันออกไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากกลุ่มยาดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแดง ลอกเป็นขุย ผิวบาง

2. การรักษาด้วยการผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิวหนังด้วยสารเคมี ที่เป็นการใช้สารที่มีความเป็นกรด เช่น กรดไกลโคลิก หรือการกรอผิว จะช่วยเร่งให้ผิวเกิดการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อช่วยให้สีผิวมีความสม่ำเสมอมากขึ้น แต่ผลข้างเคียงของวิธีนี้คืออาจเสี่ยงกับการทำให้สีผิวเข้มมากขึ้น

3. การรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และสามารถลงที่ชั้นผิวได้ลึกกว่าการทาครีมหรือการลอกผิว ซึ่งการรักษาจะใช้เลเซอร์กลุ่มที่มีความจําเพาะต่อ Melanin โดยอาศัยความสามารถของ Melanin  ในการดูดซับแสงในช่วงความยาวคลื่น ประมาณ 400 ถึง 1,200 นาโนเมตร ทำให้เกิดความร้อนแพร่กระจายในเม็ดสี และเกิดการแตกตัวจนมีขนาดเล็กลง และจะถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยระบบน้ำเหลือง

ปัจจุบันเลเซอร์ที่เป็นที่นิยมในการรักษาปัญหาเม็ดสี ได้แก่

  • Q-switched มีช่วงเวลาปล่อยแสงสั้น ในระดับนาโนวินาที
  • Picosecond  มี pulse duration สั้นกว่า Q-switched มาก มีหน่วยเป็นพิโกวินาที

ทำไมฝ้า กระ ต้องเลือก Pico laser

เนื่องจาก pico laser หรือ picosecond ปล่อยพลังงานสูงในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ที่ส่งพลังงานแสงความถี่สูงที่ความเร็วสูงสุด 1 ต่อล้านล้านวินาที โดย pulse width จะอยู่ในช่วง 300-750 ps ซึ่งสั้นกว่า Q-switch Laser ประมาณ 50 เท่า ทำให้เม็ดสีจึงแตกตัวละเอียดมากกว่า และไม่ทำให้เกิดการสะสมความร้อน ลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อโดยรอบ และถูกกำจัดออกตามได้อย่างง่ายดาย อ่านบทความเพิ่มเติม Pico Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทำกี่ครั้งเห็นผล?

วิธีป้องกันฝ้า กระ ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

ฝ้า กระ แม้ว่าจะรักษาให้จางลง หรือหายแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก จึงควรดูแลผิวเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด หากต้องออกแดด ให้สวมหมวกหรือกางร่ม
  • ทาครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB รวมถึงมีค่า SPF 50+ ขึ้นไป
  • เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ให้ทาครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีใต้ชั้นผิว

สรุป

ฝ้า มีลักษณะเป็นรอยคล้ำขนาดใหญ่ ขอบเขตไม่ชัดเจน มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการโดนแสงแดด ส่วนกระมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อน ขนาดเล็ก มักเกิดจากการสัมผัสแสงแดด ซึ่งการรักษาในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้ ฝ้า กระ หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้จางลงและลดการกลับมาเป็นซ้ำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดด และเลี่ยงการรับประทานยาที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีใต้ชั้นผิว

Facebook
Twitter
Pinterest

เรื่องแนะนำ

Pico Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทำกี่ครั้งเห็นผล?

Pico Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทำกี่ครั้งเห็นผล?

เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิวได้หลายอย่างในเครื่องเดียวคือ Pico Laser ทั้งการลดเลือนฝ้า

รักษาสิว (Acne Tretment)

Acne Treatment

มีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดกระบวนการการเกิด สิว ซึ่งสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ที่เกิดจากต่อมไขมัน (Sebaceous

รักแร้ดำทำไงดี? พร้อมบอกสาเหตุและเคล็ดลับให้รักแร้ขาวใส

รักแร้ดำ ทำไงดี? พร้อมบอกสาเหตุและเคล็ดลับให้รักแร้ขาวใส

ปัญหาผิวใต้วงแขนหมองคล้ำสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่สนุกในการแต่งตัว บทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัย รักแร้ดำ