หลักการทำงานของแต่ละโปรแกรม
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)
เป็นการใช้คลื่นอัลตาซาวน์โฟกัสความถี่สูง ยิงพลังงานแบบจุด ลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ดึงในการผ่าตัดยกหน้า เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เกิดการยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าและป้องกันการหย่อนคล้อยได้ในระยะยาว
Ulthera (Ultherapy)
เป็นเทคโนโลยี HIFU ใช้คลื่นอัลตาซาวน์โฟกัสความถี่สูง ส่งลงไปยังชั้นที่ต้องการยกกระชับใบหน้า จุดเด่นคือการแสดงผลภาพแบบ Real-time ผ่านหน้าจอ (DeepSEE technology) ทำให้เห็นชั้นผิวก่อนยิงพลังงาน จึงควบคุมความแม่นยำได้สูง
Thermage
เป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency) หรือ (Monopolar RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เหมาะสำหรับการกระชับผิวชั้นตื้น และยังสามารถลดไขมันส่วนเกินบนใบหน้าได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากวัย
โปรแกรม HIFU, Ulthera และ Thermage ช่วยเรื่องอะไร?
HIFU, Ulthera และ Thermage คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในคลินิกความงาม ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าไม่เท่ากัน เพราะช่วยฟื้นฟูผิวให้ตึงกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีจุดเด่นของแต่ละเทคโนโลยี ดังนี้
HIFU และ Ulthera
ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่สามารถปรับระดับความลึกของพลังงานได้ทุกชั้นผิว จึงสามารถให้ผลลัพธ์แบบครอบคลุมทั้งผิวตื้นและผิวลึก ได้แก่
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกของผิวหนัง
- ยกกระชับผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า คาง และลำคอ
- ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้รูปขึ้น
- ลดริ้วรอยระดับตื้น บริเวณชั้นบนของผิวหนัง
Ulthera แตกต่างจาก HIFU ตรงที่มีระบบดูภาพ Real-time (DeepSEE) ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวก่อนยิงพลังงาน จึงให้ความแม่นยำสูงกว่า
Thermage
ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF) ในการส่งความร้อนลงไปถึงชั้นลึกของผิว มีคุณสมบัติช่วย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ
- ลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้าและเหนียง
- เพิ่มความกระชับแน่นให้กับผิวหน้า
- ลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น เช่น รอบตา มุมปาก
- ลดความหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า พร้อมปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
เปรียบเทียบระดับความลึกของพลังงานที่ส่งเข้าสู่ผิว
HIFU และ Ulthera
ระดับความลึกของจะขึ้นอยู่กับหัวยิง โดยแต่ละหัวยิงจะมีระดับความลึกที่ทำให้พลังงานสามารถลงสู่แต่ละขั้นผิวหนังได้ ดังนี้ (แต่ละเครื่องอาจมีระดับความลึกเพิ่มเติมแตกต่างกัน)
- หัวยิงความลึก 1.5-2.0 mm. เป็นหัวยิงระดับตื้นที่สุด สามารถลงได้ถึงผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และหนังแท้ระดับตื้น ๆ (Upper dermis) เหมาะสำหรับลดเลือนริ้วรอยระดับตื้นบริเวณผิวหนังชั้นบน
- หัวยิงความลึก 3.0 mm. สามารถลงได้ลึกถึงผิวหนังหนังแท้ระดับลึก (Lower dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ และยังสามารถใช้ลดไขมันใบหน้าได้
- หัวยิงความลึก 4.5 mm. เป็นหัวยิงระดับลึกสำหรับบริเวณใบหน้า สามารถลงได้ลึกถึงผิวหนังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดยกกระชับผิว ดังนั้นจึงสามารถใช้ยกกระชับผิว ปรับรูปหน้า กระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึก
Thermage
เป็นการเปลี่ยนพลังงานคลื่นวิทยุเป็นความร้อน สามารถส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังได้ลึกถึงชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), หนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)
โปรแกรม HIFU, Ulthera และ Thermage เครื่องไหนเจ็บที่สุด?
ระดับความรู้สึกเจ็บปวดอาจขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึกของแต่ละบุคคล หรือความเคยชินต่อความเจ็บ เช่น เคยทำหัตถการเครื่องยกกระชับมาก่อนอาจรู้สึกเจ็บน้อยกว่า โดยทั่วไปความเจ็บอาจขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อเครื่อง และความลึกของการรักษา เครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ ๆ มีการออกแบบให้ความรู้สึกเจ็บลดลง
* ความเจ็บ Thermage > Ulthera > HIFU (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) ควรประเมินร่วมกับแพทย์เพื่อเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับสภาพผิวและความทนต่อความรู้สึกของแต่ละคน
* เครื่องแต่ละแบรนด์และรุ่นอาจให้ความรู้สึกแตกต่างกัน เช่น Thermage FLX เจ็บน้อยกว่า Thermage CPT หรือ HIFU รุ่นใหม่มักยิงได้เร็วและสม่ำเสมอ ลดความเจ็บได้มาก
เปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาการเห็นผล
- HIFU เห็นผลหลังทำทันที 20 % เริ่มการกระตุ้นคอลลาเจนเห็นผลลัพธ์หลัง 1 เดือนขึ้นไป และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ 1- 2 เดือน ความกระชับรู้สึกได้ถึงประมาณ 6 เดือน
- Ulthera เห็นผลหลังทำทันที 20 % เริ่มการกระตุ้นคอลลาเจนเห็นผลลัพธ์หลัง 1- 2 เดือนขึ้นไป และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ 1- 2 เดือน ความกระชับรู้สึกได้ถึงประมาณ 1 ปี
- Thermage เห็นผลหลังทำทันที 20 % เริ่มการกระตุ้นคอลลาเจนเห็นผลลัพธ์หลัง 1- 2 เดือนขึ้นไป และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ 2-3 เดือน ความกระชับรู้สึกได้ถึงประมาณ 1-2 ปี
จะเห็นได้ว่าระยะเวลาการเห็นผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของแต่ละบุคคลด้วย หากใครงบประมาณจำกัด กลัวเจ็บ แต่สามารถทำบ่อยได้ สามารถเลือกเป็น HIFU ได้ หรือหากใครมีงบ ไม่สะดวกทำบ่อยครั้งสามารถเลือกเป็น Thermage หรือ Ulthera ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
โปรแกรม HIFU, Ulthera และ Thermage ราคาเท่าไหร่?
- HIFU ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3000- 5000 บาท ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่รักษา
- Ulthera: ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 9000 บาท ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่รักษา
- Thermage: ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 15000 บาท ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่รักษา
ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
ข้อห้ามในการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับใบหน้า HIFU, Ulthera และ Thermage
- บริเวณที่เป็น keloid, แผลเปิด หรือเป็นสิว
- บริเวณที่พึ่งร้อยไหม โบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ผลลัพธ์หลังการทำหัตถการที่ทำมาก่อนหน้าลดลง อ่านบทความ : >> ร้อยไหม หรือ Hifuทำร่วมกันได้ไหม ?
- ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีโรคเลือดแข็งตัวยาก
- ผู้ที่มีการหายของแผลไม่ดี
ผลข้างเคียงของเครื่องยกกระชับใบหน้า HIFU, Ulthera และ Thermage
- อาการปวด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ขณะทำและภายหลังทำ 1-2 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากทำบริเวณกระดูกและทำซ้ำในตำแหน่งเดิม ใน HIFU และ Ulthera
- ผิวหนังพอง และไหม้ บวมแดงมาก เกิดจากการวางหัวไม่แนบกับผิวหนัง หรือการใช้จำนวนช็อตมากเกินไป
- อาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากโดนบริเวณเส้นประสาท
โปรแกรม HIFU, Ulthera และ Thermage แบบไหนเหมาะกับคุณ?
- HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผิวชั้นลึก คงรูปหน้าให้แน่นกระชับ ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น กลัวเจ็บ และมีงบประมาณจำกัด
- Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผิวชั้นลึก คงรูปหน้าให้แน่นกระชับ ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้ยาวนานมากขึ้น
- Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับใบหน้า ทำให้ผิวแน่นกระชับจากการกระตุ้นคอลลาเจนผิว ใช้ลดไขมันสะสมส่วนเกินชั้นใต้ผิวหนังแบบเฉพาะจุดได้ และต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้ยาวนานมากขึ้น
สรุป
HIFU, Ulthera และ Thermage เป็นโปรแกรมที่คาดหวังในเรื่องการยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน โดยไม่ต้องผ่าตัด เช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละโปรแกรมมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไปในเรื่องของผลลัพธ์ ราคา ความรู้สึกเจ็บขณะรักษา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ควรเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์ตรงความต้องการ และตรงกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหาผิวหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย คุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม
